top of page

สมาธิขั้นสูง เสี่ยวโจวเทียน เพิ่มพลังหยวนชี่ให้ตนเอง เคล็ดลับพันปี


หากเรามองย้อนกลับไปตลอดหน้าประวัติศาสตร์ของมวลมนุษยชาติ จะพบว่าอารยธรรมของมนุษย์แต่ละยุคสมัย ถูกก่อร่างสร้างขึ้นมาจากความต้องการเอาชนะเงื่อนไขข้อจำกัดของธรรมชาติ เริ่มจากเราเอาชนะข้อจำกัดทางสรีระของสิ่งมีชีวิตที่ต้องเดินสี่เท้า ใช้ชีวิตอยู่บนต้นไม้เป็นส่วนใหญ่มาเป็นสัตว์สองเท้า ที่เปลี่ยนเท้าคู่หน้ามาเป็นมือไม้ที่พลิกเปลี่ยนโฉมหน้าของโลกใบนี้ไปอย่างสิ้นเชิง

เราเดินทางผ่านแต่ละยุคสมัยของประวัติศาสตร์จากความพยายามที่จะพิชิตปัญหาอุปสรรคในการดำรงชีวิต จากยุคหิน ยุคโลหะ มาสู่ยุคประวัติศาสตร์ ยุคเกษตรกรรม ยุคอุตสาหกรรม จนกระทั่งมาถึงยุคสมัยแห่งโลกไร้พรมแดนในปัจจุบัน มนุษย์เอาชนะได้ทุกสิ่ง เราพัฒนาจากสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่บนต้นไม้เมื่อ 2-3 ล้านปีก่อน มาสู่มนุษย์ยุคไอทีที่ควบคุมทุกอย่างได้ด้วยปลายนิ้ว จิ้ม ๆ กด ๆ บนเครื่องมือสื่อสารประจำตัว แต่มีสิ่งหนึ่งที่มนุษย์เพียรพยายามจะพิชิตมานานปี นั่นคือความใฝ่ฝันที่จะหยุดความเสื่อมความชราของร่างกาย ยืดอายุขัยออกไปให้นานที่สุด หรือแม้กระทั่งความพยายามที่จะคงชีวิตให้อยู่อย่างเป็นอมตะ มนุษย์เราก็เพียรหาทางมาทุกยุคทุกสมัย วันนี้..แม้วิทยาการด้านการแพทย์ของเราจะก้าวหน้าขนาดผ่าตัดเปลี่ยนอวัยวะภายในสำคัญ ๆ เพื่อต่อชีวิตคนไข้ได้ ทำโคลนนิ่งสิ่งมีชีวิตจากต้นแบบได้ ค้นพบแผนที่พันธุกรรมมนุษย์เพื่อสืบค้นหาวิธีหยุดความตายให้ได้ หรือฉีดสเต็มเซลล์เพื่อชะลอความเสื่อมความชราได้ แต่..ทั้งหมดทั้งมวลก็มิอาจหยุดยั้งความชราได้อย่างถาวร มิอาจยื้อยุดชีวิตให้รอดพ้นจากความตายได้ แม้กระทั่งจะหาวิธีกำราบปราบโรคร้ายให้อยู่หมัด เช่น โรคมะเร็ง เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือด หัวใจและระบบหลอดเลือด ไตวาย อัลไซเมอร์ พาร์คินสัน และอื่น ๆ ซึ่งล้วนเป็นโรคที่เกิดจากความเสื่อมก็มิอาจทำได้ มนุษย์อาจลำพองว่าเราพิชิตสิ่งแวดล้อมรอบตัวได้ แต่ที่เรามิอาจเอาชนะได้เลยคือพื้นที่ในร่างกายเราเองและยิ่งกว่านั้น คือเราไม่เคยทำความรู้จักกับพื้นที่ในดวงจิตของเราเลยแม้สักน้อย แต่ใช่ว่า..มนุษย์จะมืดบอดในเรื่องจิตใจไปเสียทั้งหมด โลกตะวันตกอาจก้าวขึ้นมาเป็นมหาอำนาจในยุคปัจจุบันด้วยพลังของวิทยาศาสตร์ ซึ่งทรงพลานุภาพในการพิชิตโลกภายนอก แต่อารยธรรมอื่น ๆ ที่เคยยิ่งใหญ่ในอดีตกลับรุ่มรวยด้วยภูมิปัญญาว่าด้วยอำนาจของจิตใจ ซึ่งทรงพลานุภาพในการเติมพลังหล่อเลี้ยงชีวิตให้แข็งแรงสดใส คงความเป็นหนุ่มสาวอยู่เสมอ คลังความรู้เหล่านี้ถูกละเลยมาตลอดยุคสมัยแห่งความรุ่งโรจน์ของวิทยาศาสตร์การแพทย์แผนตะวันตกจนกระทั่งทุกวันนี้... เมื่อผู้คนเริ่มพบว่า หลายครั้งวิทยาการที่ก้าวหน้าก็ไม่สามารถให้คำตอบกับชีวิตที่เปี่ยมสุขได้ การหวนไปค้นหาภูมิความรู้ดั้งเดิมของอารยธรรมที่เคยรุ่งเรืองในอดีต ทำให้เราค้นพบความมหัศจรรย์ของภูมิปัญญาโบราณเหล่านี้ โดยเฉพาะศาสตร์แห่งความอ่อนเยาว์ หนึ่งในเคล็ดวิชาแห่งการคืนความเยาว์วัยให้ชีวิตที่โดดเด่นและสืบทอดเฉพาะในหมู่ศิษย์สายตรงมาร่วมพันปีคือ วิชาลับของปรมาจารย์คูซูกี “เสี่ยวโจวเทียน” ซึ่งเป็นศาสตร์แห่งการทำสมาธิขั้นสูงของลัทธิเต๋า เพื่อเพิ่ม “หยวนชี่” หรือ “พลังต้นกำเนิดชีวิต”ให้ร่างกาย โดยมุ่งหมายให้ผู้นั่งสมาธิฝึกฝนการเปลี่ยน สารจำเป็น (จิง) ให้เป็นพลัง “ชี่” ฝึกแปรชี่ให้เป็น จิตวิญญาณ ฝึกจิตวิญญาณคืนสู่ ความว่าง ฝึกความว่างเข้าสู่วิถีนิพพาน ผลจากการฝึกฝนเหล่านี้จะทำให้ผู้ฝึกก่อเกิดพลังภายในที่จะหล่อเลี้ยงชีวิตให้มีอายุยืดยาวโดยไม่แก่ชราและไม่เจ็บป่วย วันนี้บีเวลล์จึงขออาสาเชิญผู้อ่านมาร่วมไขความลับแห่งความเยาว์วัยกับ ศิษย์รุ่นที่14 ของปรมาจารย์คูซูกี คือ ท่านอาจารย์หยาง เผยเซิน ผู้อำนวยการศูนย์ธรรมชาติบำบัดและศูนย์พัฒนาการแพทย์แผนไทย ถนนทรัพย์ นอกจากร่ำเรียนจนสำเร็จวิชาเสี่ยวโจวเทียน 16 ขั้น จากสำนักหลงเหมินที่สืบทอดโดยตรงจากปรมาจารย์คูซูกีแล้ว ท่านอาจารย์หยางยังจบการศึกษาวิชาแพทย์แผนจีนโบราณชั้นสูง จากวิทยาลัยการแพทย์ฮหวาเซียประเทศจีน รวมทั้งได้รับประกาศนียบัตรและหนังสือรับรองด้านการแพทย์ทางเลือกอีกหลายแขนง อาทิ หมอฝังเข็มและนวดกดจุดจากสถาบันวิจัยวิชาฝังเข็มและนวดกดจุดแห่งมณฑลกวางตุ้งและสอบได้เป็นศาสตราจารย์วิชาลมปราณจากคณะกรรมการค้นคว้าวิจัยวิทยาศาสตร์ลมปราณแห่งประเทศจีน ปัจจุบัน ท่านดำรงตำแหน่งในองค์กรวิชาชีพหรือองค์กรการกุศลที่เกี่ยวข้องกับการแพทย์ทางเลือกอีกหลายแห่ง เช่น อุปนายกและหัวหน้าชี่กง สมาคมแพทย์จีนในประเทศไทย ที่ปรึกษาสมาคมแพทย์แผนไทยแห่งประเทศไทย และประธานกิตติมศักดิ์ตลอดชีพของมูลนิธิพลังชี่กง เป็นต้น ด้วยเกียรติคุณมากมายนี้ประกอบกับใบหน้าที่แลดูนุ่มนวลเยือกเย็นสุกสว่าง ผิวพรรณเต่งตึงสดใสจนคาดเดาอายุแท้จริงไม่ออกของอาจารย์หยาง เผยเซิน ก็ย่อมเป็นเครื่องการันตีได้อย่างดีว่า ท่านผู้อ่านจะได้เรียนรู้เคล็ดลับแห่งความเยาว์วัย และอายุวัฒนะจากกูรูถูกคนเป็นแน่แท้

Be Well : อยากทราบประวัติความเป็นมาของวิชาเสี่ยวโจวเทียน และวิชานี้มีประโยชน์ต่อสุขภาพมนุษย์เราอย่างไรบ้าง? อาจารย์หยาง : “เสี่ยวโจวเทียน” เป็นส่วนหนึ่งของวิชาชี่กงแบบ “ชี่กงนิ่ง” ซึ่งเน้นการนั่งสมาธิเดินลมปราณชั้นสูงตามแนวทางของลัทธิเต๋า คิดค้นขึ้นโดยปรมาจารย์ชิวซู่จี หรือที่คนไทยรู้จักในนาม นักพรตคูซูกี แห่งอมตะนิยายเรื่องเอกของกิมย้ง “มังกรหยก” นั่นเอง ท่านได้ก่อตั้งสำนัก “หลงเหมิน” และถ่ายทอดวิชานี้ให้แก่ลูกศิษย์สายตรงเท่านั้น จนได้รับการขนานนามว่าวิชาลับเฉพาะตลอดกาล ที่สืบทอดกันมากว่า 900 ปีแล้ว ความโดดเด่นของวิชาเสี่ยวโจวเทียนก็คือ เป็นชี่กงวิชาเดียวที่ฝึกฝนเพื่อเพิ่ม “หยวนชี่” หรือ “พลังต้นกำเนิดชีวิต” ให้แก่ตนเองได้ ส่งผลให้สามารถย้อนวัย หรือคืนความอ่อนเยาว์ให้แก่ร่างกาย ทำให้สุขภาพแข็งแรง แก่ช้า และยังบำบัดโรคที่เป็นอยู่ให้หายไปได้เอง ในขณะที่วิชาชี่กงทั่ว ๆ ไป ทำได้เพียงการชะลอความชราเท่านั้น หาสามารถเพิ่มพลังชีวิตจนย้อนวัยได้ไม่ Be Well : ในเมื่อเป็นวิชาลับถ่ายทอดเฉพาะคนในสำนัก แล้วอาจารย์เอามาเปิดสอนทั่วไปได้หรือคะ? อาจารย์หยาง : ผมเห็นว่าวิชานี้มีประโยชน์อย่างมหาศาลต่อมนุษยชาติ หากยังคงถ่ายทอดเฉพาะศิษย์เอกรุ่นต่อรุ่น คงมีหวังสูญหายไปเป็นแน่แท้ ก็น่าเสียดายเป็นอย่างยิ่ง เพราะทุกวันนี้เราอาศัยอยู่ในโลกที่แวดล้อมด้วยมลพิษและอาหารการกินที่เสี่ยงต่อการทำลายสุขภาพ ทำให้คนเราแก่ไว ร่างกายทรุดโทรมไว และเจ็บป่วยกันมาก ถ้าหากทุกคนได้มีโอกาสเรียนรู้วิชาเสี่ยวโจวเทียนซึ่งเปรียบเสมือนดอกไม้มหัศจรรย์แห่งวิชาชี่กง ก็เหมือนเราได้รับโอสถทิพย์ทีเดียวเชียว อย่างไรก็ตามเสี่ยวโจวเทียนมิใช่วิชาที่จะบรรลุกันได้ง่าย ๆ ผู้ฝึกต้องมีพื้นฐานที่ดีและมีความตั้งใจมั่น เพราะต้องฝ่าด่านที่ต้องเรียนรู้ถึง 16 ขั้น แต่ละขั้นก็จะเผชิญประสบการณ์ที่แตกต่างกันไป หากผู้เรียนไม่มุ่งมั่นพอก็จะยอมแพ้ง่าย หรือผู้เรียนแปรเปลี่ยนพลังที่เกิดขึ้นในบางขั้นไปใช้ในทางลบ ก็จะส่งผลเสียหายต่อภาพลักษณ์ของวิชาเสี่ยวโจวเทียนได้ นี่คือเหตุผลที่สมัยก่อนบูรพาจารย์ท่านถึงถ่ายทอดกันเฉพาะในสำนัก ที่ศูนย์ฯ เองก็เปิดสอนแค่ปีละ 2 ครั้ง ๆ ละ 10 คนเท่านั้น เพราะเราต้องมั่นใจว่าเขาจะเรียนได้ตลอดรอดฝั่ง และบรรลุเป้าหมายคือการเพิ่มพลังชีวิตให้ตนเอง ทำให้สุขภาพแข็งแรง คืนความอ่อนเยาว์กระฉับกระเฉงให้ร่างกาย มีจิตใจ และสมองที่แจ่มใส ปลอดโปร่ง

Be Well : อาจารย์ช่วยสรุปประโยชน์ของการฝึกเสี่ยวโจวเทียนต่อสุขภาพที่เห็นชัดเจน และไม่ยากต่อการฝึกฝนให้บรรลุได้ อาจารย์หยาง : ประโยชน์ที่อธิบายได้ด้วยหลักวิทยาศาสตร์การแพทย์คือ ประการแรก เมื่อเรานั่งสมาธิคลื่นสมองจะเข้าสู่ระดับอัลฟ่า คือมีความถี่เพียง 8-13 รอบต่อวินาที ซึ่งจัดว่าเป็นคลื่นสมองที่มีระเบียบ ผ่อนคลาย เต็มเปี่ยมด้วยศักยภาพในการคิดเชิงสร้างสรรค์ จินตนาการ เป็นสภาวะจิตใจที่สงบ สมดุล แต่มีความตื่นตัว สมองจึงพร้อมเปิดรับข้อมูลและเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็ว พร้อมที่จะทำกิจกรรมใด ๆ ได้อย่างยอดเยี่ยมและมีประสิทธิภาพสูงสุด กล่าวโดยสรุปก็คือ การฝึกเสี่ยวโจวเทียนจะช่วยให้ผู้ฝึกมีจิตใจที่ผ่องใส ปลอดโปร่ง เพิ่มศักยภาพของสมองทำให้สติปัญญาดีขึ้น คิดอะไรได้อย่างรวดเร็ว เป็นระบบ ประโยชน์สำหรับเด็กวัยเรียนคือช่วยเพิ่มความจำและความสามารถในการเรียนรู้ สำหรับผู้ใหญ่ ก็จะช่วยให้มีสติ เพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน มีความมั่นคงทางอารมณ์ กระฉับกระเฉง มีเสน่ห์ มนุษยสัมพันธ์ดี ไม่โกรธง่าย ลดความเครียดและลดอาการความจำเสื่อม หรือช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคอัลไซเมอร์นั่นเอง ประการที่สอง เมื่อคลื่นสมองเข้าสู่ระดับอัลฟ่า สมองจะหลั่งฮอร์โมนเอ็นดอร์ฟินและฮอร์โมนอื่น ๆ ที่มีประโยชน์ต่อร่างกายออกมา ทำให้เรารู้สึกมีความสุขและกระตือรือร้น ทั้งยังช่วยเพิ่มภูมิต้านทานโรค ฟื้นฟูสุขภาพร่างกาย และบำบัดโรคภัยไข้เจ็บให้หายเองได้ ที่สำคัญยังช่วยชะลอความชรา คืนความเป็นหนุ่มสาว ช่วยให้ผิวหน้าแลดูอ่อนกว่าวัย เมื่อสุขภาพแข็งแรง ไม่มีโรคเบียดเบียน ก็ย่อมมีอายุยืนยาวกว่าคนทั่วไป Be Well : แล้วที่บอกว่าฝึกเพื่อเพิ่มหยวนชี่ จนสามารถย้อนวัยได้ครั้งละ 8 ปีล่ะ เป็นไปได้อย่างไร? อาจารย์หยาง : ประโยชน์ข้างต้นเป็นการอธิบายในเชิงวิทยาศาสตร์ แต่ในทัศนะของชี่กง เราให้ความสำคัญกับสิ่งที่ไม่ใช่วัตถุ ซึ่งมองไม่เห็นด้วยตาเปล่าด้วย นั่นคือ พลังชีวิต ตามทฤษฎีการแพทย์แผนจีนกล่าวว่า สิ่งที่มีค่าที่สุดในร่างกายมนุษย์คือ “หยวนชี่” หรือ “พลังเดิม” ซึ่งแบ่งเป็น 2 ชนิดคือ พลังชีวิตก่อนกำเนิด เป็นพลังชีวิตที่ได้จากบิดามารดา เริ่มตั้งแต่เป็นเซลล์ตัวอ่อนในครรภ์มารดา และ พลังชีวิตหลังกำเนิด เป็นพลังชีวิตหลังคลอดจากครรภ์มารดา เริ่มหายใจเองได้และกินอาหาร พลังชีวิต ส่วนนี้จึงได้มาจากอากาศ อาหาร และน้ำ หลังคลอด มนุษย์ได้รับหยวนชี่จากมารดามาเป็นทุนตั้งต้น และทุก ๆ 32 เดือน หยวนชี่จะเพิ่มขึ้นเท่ากับ 1 เส้นพลังหยาง จนกระทั่งอายุ 16 ปี ก็จะมีหยวนชี่เต็มเปี่ยมครบ 6 เส้น หลังจากนั้นหยวนชี่ก็จะค่อย ๆ สลายไป อันเนื่องจากเราใช้พลังหยวนชี่ในการดำเนินชีวิตประจำวัน โดยทุก ๆ 8 ปี ร่างกายจะสูญเสียพลังชีวิตหนึ่งเส้นพลังหยาง ขณะเดียวกันพลังหยินก็จะเข้ามาแทนที่ เมื่อพลังหยวนชี่ถูกใช้หมด ชีวิตก็จะถึงจุดจบ อย่างไรก็ตามนี่เป็นสภาพการณ์ทั่วไป รูปแบบการใช้ชีวิตที่ผิดแผกแตกต่างกัน ส่งผลให้หยวนชี่หมดช้าบ้างเร็วบ้างไม่เท่ากัน บางคนใช้ชีวิตสมบุกสมบัน ไม่ดูแลตัวเอง หยวนชี่ก็หมดเร็ว อายุจึงสั้น ส่วนคนที่ดูแลสุขภาพก็หมดช้ากว่า อายุยืนกว่า การฝึกเสี่ยวโจวเทียน จะเข้ามาช่วยเพิ่มหยวนชี่ให้ร่างกายเราได้ โดยการโคจรลมปราณให้ เส้นเยิ่นม่าย กับ เส้นตู๋ม่าย เชื่อมโยงกัน หรือที่เรียกว่า การทะลุผ่านเสี่ยวโจวเทียน ซึ่งเกิดขึ้นในการฝึกขั้นที่ 3 ทั้งนี้เนื่องจากในขณะที่เราอยู่ในครรภ์มารดา ทารกจะหายใจและรับสารอาหารหรือพลังก่อนกำเนิดจากมารดาผ่านทางสะดือ แต่ทันที่คลอดออกจากท้องแม่ ทารกจะอ้าปากร้องและสูดหายใจเพื่อรับพลังชีวิตหลังกำเนิด ในทันทีที่อ้าปาก ลิ้นก็จะแยกออกจากเพดาน ทำให้สะพานสวรรค์ที่เชื่อมโยงเส้นเยิ่นม่ายกับตู๋ม่ายขาดสะบั้นลง พลังชีวิตที่วิ่งเป็นวงโคจรถูกตัดขาด การฝึกเสี่ยวโจวเทียนจึงมุ่งเชื่อมต่อสะพานระหว่างสองเส้นนี้ให้พลังชีวิตแล่นได้ครบรอบวงโคจรอีกครั้งหนึ่ง โรคทั้งหลายที่แฝงอยู่ในตัวผู้ฝึกก็จะถูกขจัดไปหมดสิ้น เมื่อเราฝึกจนทะลุทะลวงเส้นลมปราณทั้งสองเส้นได้แล้ว ให้ฝึกฝนขั้นต่อไปจนเข้าสู่ภาวะ “กำเนิดโอสถทิพย์” หยวนชี่ในร่างกายที่สูญเสียไปจากการดำเนินชีวิตประจำวันก็จะกลับคืนมา หากเราฝึกจนสามารถเกิดโอสถทิพย์ได้ถึง 100 ครั้ง ร่างกายก็จะได้รับหยวนชี่เท่ากับหนึ่งเส้นพลังหยาง ส่งผลให้ผู้ฝึกย้อนวัยได้ถึง 8 ปี ทีเดียว Be Well : อาจารย์ช่วยอธิบายขั้นตอนการฝึกทั้ง 16 ขั้น อย่างย่อ ๆ ด้วยค่ะ อาจารย์หยาง : เสี่ยวโจวเทียนที่ผมสอน คอร์สหนึ่งใช้เวลา 3 ปี ปัจจุบันผมเปิดสอนถึงแค่ขั้น 12 ยังไม่ถึง 16 นะครับ แต่เมื่อครบ 3 ปี ก็จะครบ 16 ขั้นพอดี อย่างไรก็ตามเราก็ดูความพร้อมของลูกศิษย์ด้วยนะว่าเขาเรียนได้ไหม ตอนนี้แค่ขั้น 8-9 ก็มีแค่รุ่นละคนสองคนเท่านั้น เพราะเขาต้องฝึกฝนผ่านมาเป็นลำดับขั้น ซึ่งไม่ใช่ง่าย ๆ เลย ส่วนใหญ่ที่เรียน ๆ อยู่ก็ทะลุแค่ขั้น 3 ซึ่งเป็นขั้นพื้นฐาน การฝึกเสี่ยวโจวเทียนขั้น 1 และ 2 เป็นการค้นหาวิธีเปิดประตูกลของพลังชีวิตในร่างกายเรา ซึ่งอยู่ที่ตำแหน่งอันเป็นที่ตั้งของตันเถียนล่าง การฝึกขั้น 1 จึงเน้นการ ส่งพลังไปเก็บสะสมที่ตันเถียนล่าง ใช้เวลาฝึกโดยการนั่งสมาธิเป็นเวลา 15 วัน เมื่อบรรลุแล้วก็ฝึกขั้น 2 ต่อไป เรียกว่า การส่งจิตเฝ้าที่ตันเถียนล่าง ให้นั่งสมาธิ หายใจเข้า-ออก แล้วตามจิตมาเพ่งที่ตันเถียนล่าง เฝ้าประดุจแม่ไก่กำลังฟักไก่ พลังชี่ก็จะรวมศูนย์อยู่ที่ตันเถียนล่างได้เต็มที่ ก็เข้าสู่ขั้นที่ 3 คือ การเคลื่อนพลัง โดยเคลื่อนพลังที่สะสมในตันเถียนล่างลงไปตามจุดฮุ่ยอินต่อไปก้นกบ ขึ้นไปที่เอว ต่อมาที่กลางหลังจนถึงต้นคอ ขึ้นไปที่สมองหลังผ่านจุดไป่ฮุ่ย ลงมาตามหว่างคิ้ว ต่อมาที่คอ ลงมาที่ตันเถียนกลาง แล้วมาบรรจบที่ตันเถียนล่าง ครบ 1 รอบพอดี พลังจะหมุนวนจากด้านหลังมาด้านหน้าตามเส้นตู๋ม่ายและเยิ่นม่ายที่เชื่อมโยงกันแล้วนี้ต่อเนื่องกันไปเรื่อย ๆ เราเรียกว่า การทะลุเสี่ยวโจวเทียน อันเป็นการฝึกพื้นฐาน จากนั้นขั้น 4 คือ การฝึกจิตผ่อนคลาย ให้พลังหมุนรอบเสี่ยวโจวเทียนเอง ขั้น 5 คือ การเกิดยา เก็บยา สกัดยา หรือขั้นกำเนิดโอสถทิพย์นั้นเอง ขั้น 6 ต้าโจวเทียน เป็นการฝึกให้เส้นลมปราณปกติ 12 เส้น และเส้นลมปราณพิเศษ 8 เส้น ทะลุตลอดทั้งตัว ทำให้สามารถบำบัดโรคได้เอง เส้นเอ็นไม่ยึดตึง ขั้น 7 คือ เข้าฌาน เป็นการนั่งสมาธิระดับลึกจนร่างกายไม่มีความรู้สึก ไม่มีความคิด มีแต่ความรู้สึกถึงพลังเพียงอย่างเดียวเต็มที่เปี่ยมล้นจนถึงจักรวาล ร่างกายรวมเป็นหนึ่งเดียวกับจักรวาล เราเรียกว่า การเข้าฌานขั้นที่หนึ่งของเสี่ยวโจวเทียน ขั้น 8-9 ก็จะเห็นแสงจันทร์ แต่ละขั้นก็จะพัฒนาขึ้นสูงไปเรื่อย ๆ สู่วิถีแห่งนิพพาน Be Well : การฝึกเสี่ยวโจวเทียนก็บรรลุนิพพานได้หรือคะ แบบเดียวกับพุทธศาสนา? อาจารย์หยาง : การนั่งสมาธิแบบพุทธเป็นการฝึกเข้าถึงจิตทางตรงเรียกว่า “วิธีตุ้น” ดังคำกล่าวในลัทธิมหายานที่ว่า “จิตสว่างจะเห็นมรรค เมื่อเห็นมรรคก็จะเห็นพุทธ” ส่วนการนั่งสมาธิแบบเต๋าในการฝึกเสี่ยวโจวเทียนใช้ “วิธีเจี้ยน” คือ การฝึกทางกายแล้วไปถึงจิต เป็นการฝึกทางอ้อมนั่นเอง ศาสนาพุทธให้ความสำคัญกับการบำเพ็ญจิต โดยไม่เน้นการเปลี่ยนแปลงของกายภาพ อีกทั้งเห็นว่า การให้ความสนใจกับการเปลี่ยนแปลงของกายภาพจะทำให้ยึดมั่นในรูปและตัวตน (อัตตา) แต่ลัทธิเต๋ากลับมองตรงกันข้าม คือกำหนดให้บำเพ็ญทั้งจิตและชีวิตควบคู่กันไป โดยเห็นว่าหากมัวแต่มุ่งควบคุมอารมณ์จิตโดยไม่บำเพ็ญตน ก็ไม่สามารถบรรลุเป็นเซียนได้ ทว่า..ถึงที่สุดแล้วทั้งพุทธและเต๋าก็ล้วนให้ความสำคัญกับการบำเพ็ญจิตเพื่อบรรลุพุทธะและมุ่งสู่นิพพานเช่นเดียวกัน Be Well : เสี่ยวโจวเทียนขั้น 16 คือ นิพพาน แล้วที่ผ่านมามีใครบรรลุนิพพานบ้างไหมคะ? อาจารย์หยาง : ปรมาจารย์ทั้งหลายล้วนฝึกถึงขั้น 16 แล้วก็บรรลุนิพพาน คือ ไม่ตาย ไม่เกิด Be Well : อาจารย์ก็สำเร็จวิชาเสี่ยวโจวเทียน 16 ขั้น ไม่ใช่หรือคะ? อาจารย์หยาง : ผมเรียนสำเร็จ แต่ยังบำเพ็ญจิตไม่ถึงขั้นนั้นมันไม่ง่ายนะ และถ้าเราบรรลุแล้วก็ไม่มีเราอยู่ Be Well : ตกลงเราฝึกเพื่อฟื้นฟูสุขภาพ หรือเพื่อการหลุดพ้น อาจารย์หยาง : อย่างที่บอก การนั่งสมาธิแบบเต๋าเน้นบำเพ็ญทั้งจิตและกาย การฝึกเสี่ยวโจวเทียนให้ผลดีต่อสุขภาพแน่นอนอยู่แล้ว และเมื่อสุขภาพดี จิตใจผ่องใส ปลอดโปร่ง เข้าสู่ภาวะสงบ และความว่าง เมื่อนั้นจิตก็เกิดปัญญา การทะลุทะลวงแต่ละขั้นตอนของวิชาเสี่ยวโจวเทียนจะทำให้จิตดำเนินไปสู่พุทธะในที่สุด แต่สำหรับคนทั่วไปมักจะเน้นฝึกแค่เสี่ยวโจวเทียนระดับพื้นฐาน ซึ่งก็ช่วยฟื้นฟูสุขภาพได้อย่างมากมายมหาศาลแล้ว หากสามารถฝึกต่อจนถึงขั้นกำเนิดโอสถทิพย์ก็ยิ่งดี เพราะให้ผลในด้านการย้อนวัยได้ด้วย Be Well : แล้วเรื่องสถานที่ เวลา มีข้อกำหนดอย่างไรบ้างคะ? อาจารย์หยาง : จะนั่งเก้าอี้หรือนั่งขัดสมาธิก็ได้ แต่นั่งขัดสมาธิจะดีกว่า ควรหันหน้าไปทางทิศตะวันตกเพื่อเข้าหาสนามแม่เหล็กโลก เวลาที่ชี่เดินได้แรงคือยามแรกของวัน เท่ากับช่วงห้าทุ่มถึงตีหนึ่งของจีนแต่สำหรับประเทศไทย ควรฝึกตอนตีสามถึงตีห้า สถานที่ควรเป็นที่ที่มีพลังธรรมชาติ เช่น น้ำตก ทะเล ภูเขา จะดีมาก แต่ถ้าไม่สะดวกก็ฝึกที่บ้านท่านนั่นแหละ ขอให้มีการฝึกอย่างอดทนและสม่ำเสมอเป็นพอ Be Well : อาจารย์พอมีตัวอย่างลูกศิษย์ที่เรียนเสี่ยวโจวเทียน แล้วเห็นผลดีต่อสุขภาพชัดเจนบ้างไหมคะ? อาจารย์หยาง : เยอะแยะ แต่ผมจะพูดถึงเฉพาะคนที่เขายินดีเปิดเผยนะครับ เช่น ดร.สมพงษ์ หาญวจนวงศ์ ฝึกสำเร็จถึงขั้น 7 ร่างกายเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม คือ ใบหน้าอ่อนเยาว์กว่าก่อนมาฝึก ผิวพรรณขาว มีน้ำมีนวล เส้นผมดกดำและมีน้ำหนักขึ้น ความจำดีขึ้น กล้ามเนื้อกระชับ จิตใจเยือกเย็น หรือ คุณถนอมวงศ์ มังคลรังษี ฝึกถึงขั้น 5 ใบหน้าอ่อนเยาว์กว่าอายุจริงเกือบ 20 ปี คือใคร ๆ ก็คิดว่าเธออายุไม่เกิน 32 ทั้ง ๆ ที่เธอมีอายุถึง 51 ปีแล้ว คุณทิวา อินทเสนี ฝึกถึงขั้น 5 เช่นกัน เธอบอกว่าก่อนหน้านี้เธอเป็นโรคภูมิแพ้อากาศ มักเป็นหวัด เจ็บคอ คออักเสบอยู่เป็นประจำ หลังฝึก อาการเหล่านี้หายไปอย่างสิ้นเชิง กระปรี้กระเปร่าขึ้น ทำงานได้มีประสิทธิภาพกว่าเก่าอย่างเห็นได้ชัด แถมผิวพรรณก็ดูผ่องใสจนไม่มีใครเชื่อว่าเธออายุหกสิบกว่าปีแล้ว ความจริงมีอีกหลายท่านนะ แต่แค่นี้ก็คงพอที่จะยืนยันว่าการฝึกเสี่ยวโจวเทียนให้ผลดีต่อสุขภาพและสามารถคืนความอ่อนเยาว์ให้เราได้จริง ๆ บีเวลล์ก็ศิโรราบแล้วจริง ๆ ว่าเสี่ยวโจวเทียนคือเครื่องมือพาคุณย้อนวันวัยกลับไปสู่ความเป็นหนุ่มสาวได้จริง ๆ ชนิดที่เครื่องสำอางราคาแพง หรือแม้แต่การฉีดสเต็มเซลล์ก็อาจจะชิดซ้ายไปเลย ดูหน้าอาจารย์หยาง เผยเซิน ผู้ฝึกสอนสิคะ ไม่กล้าถามอายุเลยจริง ๆ เอาล่ะแฟน ๆ บีเวลล์ท่านใดสนใจอยากทวงคืนผิวพรรณอันอ่อนเยาว์ สุกสว่าง ออร่าเปล่งประกายเฉิดฉายไม่แพ้ดาราคนไหน ทั้งยังช่วยเติมความฉลาดฉับไวให้สมอง ลดความเครียดความเหนื่อยล้า เติมพลังให้ชีวิต ให้ปิติเบิกบาน อาจไม่แพ้การไปปฏิบัติธรรมที่ไหน ๆ ก็ขอเชิญติดต่อเข้าอบรมวิชาเสี่ยวโจวเทียนที่ 02-6370121-2 ได้ทุกวันค่ะ

ที่มา : Be Well นิตยสารสุขภาพรายเดือน ปีที่ 8 ฉบับที่ 96 (15 กุมภาพันธ์ – 15 เมษายน 2557) จับเข่าสนทนา สัมภาษณ์และเรียบเรียง โดย กองบรรณาธิการ ภาพ โดย จุมพล พรนวม

bottom of page